ZT Maju - шаблон joomla Продвижение

ข่าวเด่นประจำวัน

1550135228375         

            กรมสุขภาพจิต ชวนเพิ่มคุณค่าความรัก จากความรู้สึกระหว่างคนสองคน สู่ความรักตัวเอง รักครอบครัว และระดับที่สูงขึ้น คือ รักคนรอบข้าง รักคนไทยด้วยกัน รักสังคม รักสถาบันและประเทศชาติ ซึ่งคุณค่าความรักเหล่านี้ จะช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพจิตที่ดี และประเทศปลอดภัย

            นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนแห่งความรัก และสถานการณ์ปัจจุบัน กรมสุขภาพจิต ขอเชิญชวนคนไทยทุกคน หันมาทบทวนให้ความสำคัญ และเห็นคุณค่าของ “ความรัก” มากกว่าการจำกัดเฉพาะความรักระหว่างคนสองคนแบบหนุ่มสาวเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้ว ความรัก มีความซับซ้อน และมีความละเอียดมาก มีผู้แบ่งความรักเป็นลำดับขั้น คือ 1. ความรัก ที่อยากได้ฝ่ายเดียว คือ เอาความรัก ความสุข และทุกอย่างมาที่ตนเองเป็นสำคัญ  2. ความรักในครอบครัว ความรักที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในครอบครัว  และ 3. เป็นความรักขั้นสูงสุด คือ ความรักในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นมีความสุข ความรักในรูปแบบนี้ จะครอบคลุมถึงการรักสังคม รักสถาบันและประเทศชาติ ซึ่งการกระทำที่สำคัญ ที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข ไม่เบียดเบียนกัน ก็คือ “การให้”  

           สำหรับกรมสุขภาพจิต มีนโยบายที่จะส่งเสริมให้เยาวชน และคนไทย มีความรักในรูปแบบขั้นสูงสุด เพราะเป็นแนวทางสำคัญจะช่วยให้คนไทยมีสุขภาพจิตดี สังคม และประเทศชาติปลอดภัย โดยแนวทางการส่งเสริมให้ เยาวชน มีคุณสมบัติของการเป็นคน “คิดให้” (Responsibility to society) คือ การมีระเบียบวินัย รับผิดชอบต่อตนเองผู้อื่น มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังผลใดๆ ตอบแทน มองเห็นถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรอบตัวหรือสังคม อยากเข้าไปมีส่วนในการช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ที่เป็นปัญหา รู้ถึงสิทธิและหน้าที่ในความรับผิดชอบ พร้อมลงมือปฏิบัติร่วมช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา โดยมีวิธีการดำเนินงาน คือ ทำให้เด็กรู้สึกผูกพันไว้วางใจกับ พ่อแม่ ครู ผู้ปกครอง, ทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองเป็นที่รักและมีความสำคัญ,ฝึกความคิดยืดหยุ่น มองหาทางออกอื่นๆ, ฝึกการแก้ปัญหาต่างๆ, เรียนรู้การมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ รู้จักการให้และรับ, ฝึกสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น, ปลูกฝังความคิดและทัศนคติทางบวก, ฝึกให้เด็กสร้างเป้าหมายอย่างมีขั้นตอน, ฝึกความรับผิดชอบ, ฝึกให้รู้จักการอดทนรอคอย, ฝึกการจัดการอารมณ์ตัวเอง, เรียนรู้การชื่นชมให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เป็นต้น อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

                                          

 

ข่าวเด่นประจำวัน

1550652371302

นายแพทย์เกียรติภูมิ  วงศ์รจิต  อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า สถานการณ์ข่าวที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลานี้ จะเห็นว่าสื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายค่อนข้างถี่ โดยเฉพาะข่าวการฆ่าตัวตายแบบรมควันนั้น กรมสุขภาพจิตห่วงประชาชนในการติดตามข่าวสารข้อมูลความเคลื่อนไหวดังกล่าว อาจจะทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ (Copycat suicide) ขึ้นมาได้ โดยการเลียนแบบมักเกิดขึ้นภายหลังจากการได้รับข่าวที่บรรยายถึงวิธีการกระทำโดยละเอียด การได้เห็นภาพ หรือวิธีการฆ่าตัวตายจากสื่อ ได้ฟังการบรรยายในเรื่องของการฆ่าตัวตายซ้ำบ่อยๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสัดส่วนมากน้อยตามระยะเวลา ความถี่ และปริมาณข่าวที่ได้รับด้วย จากข้อมูลศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กรมสุขภาพจิต ปี 2540 – 2560 พบว่า มีการฆ่าตัวตายโดยใช้วิธีการรมควัน เพียงประมาณ 0.1% ของจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย และผู้ชายเสี่ยงกว่าผู้หญิง 1.38 เท่า ในการใช้วิธีการนี้

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า กรมสุขภาพจิต จึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือเพื่อป้องกัน โดยในส่วนของสื่อมวลชนซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารควรดำเนินการด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าววิธีการฆ่าตัวตายอย่างละเอียด ภาพการฆ่าตัวตาย รวมไปถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำร้ายตัวเอง และหลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าวซ้ำๆ ถี่ๆ เพื่อป้องกันพฤติกรรมเลียนแบบการฆ่าตัวตาย สำหรับบุคคลทั่วไปขอให้หมั่นสังเกต  คนใกล้ชิด คนในครอบครัว หากพบมีอาการเศร้า เบื่อ เซ็ง คิดวนเวียน นอนไม่หลับ มองโลกในแง่ลบ หรือโพสต์ข้อความเชิงสั่งเสีย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ หมดหวังในชีวิต ซึ่งเป็นอาการบ่งบอกของโรคซึมเศร้าและเป็นสัญญาณเสี่ยง ต่อการฆ่าตัวตาย ขอให้รีบเข้าไปพูดคุย แสดงความเต็มใจช่วยเหลือ ยอมรับปัญหาของเขา ให้กำลังใจ ชักชวนออกไปทำกิจกรรมข้างนอก และพาไปรับบริการที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต โทร.1323 หรือ เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมที่แอพพลิเคชั่นสบายใจ (sabaijai)

ข่าวเด่นประจำวัน

วนดาวนซนโดรมโลก62 ๑๙๐๓๑๘ 0044

กรมสุขภาพจิตคาดการณ์เด็กดาวน์เกิดใหม่ลดลง เร่งรณรงค์ส่งเสริมศักยภาพเด็กกลุ่มอาการดาวน์ลดความเหลื่อมล้ำสร้างความทัดเทียม

วันนี้ (18 มี.ค.62) สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิตจัดงาน “ดาวน์ดวงนี้ที่สร้างได้” รณรงค์เนื่องในวันดาวน์ซินโดรมโลกประจำปี 2562 ภายใต้แคมเปญ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”  "leave no one behind" เพื่อส่งเสริมการรับรู้ และเปิดโอกาสสร้างความเท่าเทียมกันในทุกด้านของสังคม สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมให้คำมั่นว่าจะไม่มีใครถูกทอดทิ้ง วันดาวน์ซินโดรมโลกตรงกับวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี จึงมีการจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มอาการดาวน์พร้อมกันทั่วโลก ในแต่ละนั้นปีนั้นเสียงของผู้ที่มีกลุ่มอาการดาวน์จะดังขึ้นทุกปี ดังจะเห็นได้จากการแสดงความสามารถของบุคคลกลุ่มอาการดาวน์ที่พร้อมใจกันมาร่วมแสดงศักยภาพโชว์ความสามารถที่ทัดเทียมหรืออาจจะมากกว่าบุคคลปกติทั่วไปให้ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์และยอมรับในความสามารถของพวกเขา

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กลุ่มอาการดาวน์  (Down syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของสารพันธุกรรมมาแต่กำเนิด ส่งผลต่อการพัฒนาของเด็กตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์มารดาต่อเนื่องไปจนหลังคลอดและตลอดชีวิต เกิดขึ้นกับทารกประมาณ 1 ใน 800 คน เด็กกลุ่มอาการดาวน์ มีความบกพร่องในการเรียนรู้ การใช้ภาษาและการเคลื่อนไหวของร่างกายตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงระดับที่มาก ประเทศไทยในช่วงปี 5 ปีหลัง มีแนวโน้มพบทารกดาวน์เกิดใหม่ลดลง โดยพบประมาณ 500 คนต่อปี หรือประมาณ 1-2 คนต่อวัน อัตราความเสี่ยงของการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมจะสูงหรือต่ำขึ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุของมารดาขณะตั้งครรภ์ มีประวัติมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม หรือมีความผิดปกติในโครโมโซมของพ่อแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย ปัจจุบันสามารถคัดกรองทารกที่มีความเสี่ยงต่อดาวน์ซินโดรมได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มตั้งครรภ์ การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคสำหรับสตรีตั้งครรภ์และพัฒนาการเด็กปฐมวัยอย่างถ้วนหน้า ไม่ละทิ้งใครไว้เบื้องหลัง เป็นนโยบายสำคัญของการสร้างหลักประกันสุขภาพของประเทศไทย รัฐบาลทุ่มงบ 100 ล้าน เปิดให้บริการตรวจคัดกรองโดยการเจาะเลือดตรวจในกลุ่มอาการดาวน์ในหญิงตั้งครรภ์อายุ 35 ปีขึ้นไปครอบคลุมทั่วประเทศ ทุกสิทธิ์ ช่วยให้หญิงตั้งครรภ์เข้าถึงข้อมูลเพื่อตัดสินใจและเตรียมความพร้อมเพิ่มขึ้น ทำให้พ่อแม่ได้รับทราบภาวะของทารกที่จะเกิดมาเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับ

พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผอ.สถาบันราชานุกูล เผยว่า ถึงแม้เด็กที่เกิดมาพร้อมกับอาการดาวน์ซินโดรมจะมีพัฒนาการล่าช้า มีระดับความสามารถในการเรียนรู้ที่ลดลง ระดับของสติปัญญาจะอยู่ในขั้นบกพร่องเล็กน้อยถึงปานกลาง คือมีไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50 มีปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยกว่าเด็กปกติ  แต่คุณค่าต่อสังคมของเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้น้อยลงเลย เนื่องจากเด็กกลุ่มอาการดาวน์ทุกคนมีศักยภาพในการพัฒนาและสามารถพัฒนาจนดูแลช่วยเหลือตนเองได้  ได้รับการยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม  อีกทั้งเด็กกลุ่มอาการดาวน์เองเป็นเด็กที่มีความน่ารักในตัว อารมณ์ดีและเป็นมิตร ซึ่งเด็กกลุ่มอาการดาวน์จำนวนมากยังขาดโอกาสในการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ จากข้อมูลการฟื้นฟูสมรรถภาพปี 2561 ทั่วประเทศ มีจำนวนผู้ใช้สิทธิ Early intervention เพียง 22,681 คน 49,218 ครั้ง ข้อมูลจากระบบลงทะเบียนเด็กพิการแต่กำเนิดพบว่าเด็กกลุ่มอาการดาวน์ในเขต กทม. เพียงร้อยละ 10-15 ของเด็กกลุ่มอาการดาวน์ทั้งประเทศ ส่วนอีก 85% อยู่นอกเขต กทม. สะท้อนให้เห็นว่าการส่งเสริมสุขภาพและกระตุ้นพัฒนาการในเด็กกลุ่มนี้ยังขาดความครอบคลุม ระบบสาธารณสุขต้องรองรับจุดนี้  ทางสถาบันราชานุกูลจึงได้จัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพและส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มอาการดาวน์เพื่อให้หน่วยงานใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูและบำบัดรักษา

นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กกลุ่มอาการดาวน์ขาดโอกาสเข้ารับการศึกษาทั้งในโรงเรียนการศึกษาพิเศษหรือโรงเรียนร่วม พบว่ามีเด็กบกพร่องทางสติปัญญาที่อยู่ในวัยศึกษาจำนวน 50,000 คน แต่มีนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญาที่อยู่ในโรงเรียนการศึกษาพิเศษและเรียนร่วมปี 2560  มีเพียง 26,250 คน หรือคิดเป็นอัตราการเข้าเรียนอย่างหยาบร้อยละ 50 ในขณะที่อัตราการเข้าเรียนระดับอนุบาลและประถมศึกษาของประเทศอยู่ที่ร้อยละ 80.3

การพัฒนาศักยภาพของเด็กกลุ่มอาการดาวน์เพื่อให้ดำรงชีวิตอิสระได้ต้องอาศัยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนเด็กกลุ่มอาการดาวน์ช่วงอายุแรกเกิด – 5 ปี สามารถมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้ จากการที่ผู้ปกครองนำมารับการส่งเสริมพัฒนาการอย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุน้อย ๆ (ไม่เกินขวบปีแรก) ร่วมกับการที่ผู้ปกครอง มีความรู้ในการดูแลสุขภาพและให้ส่งเสริมพัฒนาการลูกเองได้ที่บ้านอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งระบบสาธารณสุขและระบบการศึกษาต้องให้การสนับสนุนในศักยภาพของเด็กแต่ละคนเท่าที่จะเป็นไปได้


 

ข่าวเด่นประจำวัน

132477


            วันนี้ (6 มีนาคม 2562) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร กรมสุขภาพจิตได้ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมสุขภาพจิตโดยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมควบคุมโรค สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่องการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตอันเนื่องมาจากการใช้ยาเสพติด ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อลดผลกระทบของผู้ใช้ยาเสพติดบางรายที่มีอาการทางจิตและส่งผลกระทบต่อสังคม โดยมีแนวทางการบูรณาการร่วมกันในการเฝ้าระวังและเผชิญเหตุความรุนแรง ภายใต้ภารกิจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุขภาพจิต พ.ศ.2551
            ตามความร่วมมือครั้งนี้ มีข้อตกลงดำเนินการ 5 มาตรการหลัก ได้แก่ 1. จัดตั้งกลไกการอำนวยการและติดตามเครือข่ายการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตอันเนื่องมาจากการใช้ยาเสพติด 2. กำหนดและสื่อสารแนวทางการดำเนินงานการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตอันเนื่องมาจากการใช้ยาเสพติด 3. พัฒนาศักยภาพบุคลากรหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการตามระบบการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตอันเนื่องมาจากการใช้ยาเสพติด 4. ให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตอันเนื่องมาจากการใช้ยาเสพติด และ 5. สนับสนุน ประสาน กำกับ ติดตาม และให้การดูแลช่วยเหลือในภาวะวิกฤตฉุกเฉิน โดยการบำบัดฟื้นฟูและรับส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตอันเนื่องมาจากการใช้ยาเสพติด เพื่อลดการก่อเหตุรุนแรงในสังคม ตามแนวทางการส่งต่อผู้ป่วย ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551
            อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันได้ปรากฎข่าวผ่านสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลกระทบของปัญหายาเสพติดจากผู้ใช้ยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ซึ่งสถานการณ์ผู้ใช้สารเสพติดของประเทศไทย พบ ผู้ใช้สารเสพติดชนิดใดชนิดหนึ่ง ใน 1 ปี จำนวน 1.4 ล้านคน เป็นผู้ใช้สารเสพติดชนิดใดชนิดหนึ่ง จำนวน 1.1 ล้านคน และเป็นผู้ติดสารเสพติด จำนวน 3.2 แสนคน ในจำนวนนี้เข้าสู่ระบบการบำบัดของกรมสุขภาพจิต จำนวน 24,196 คน โดยพบว่าเป็นผู้ป่วยจิตเวชติดสารเสพติดรุนแรง จำนวน 5,757 คน และเป็นผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่เสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) จำนวน 577 คน นอกจากนี้ ยังพบสถิติผู้ป่วยยาเสพติดที่มีอาการทางจิตเวชก่อเหตุรุนแรงในสังคมเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น 3.92 เท่า ในปี 2561 ผู้ป่วยยาเสพติดที่มีอาการทางจิตเวชก่อเหตุรุนแรง จำนวน 267 ราย แบ่งเป็นชายจำนวน 259 ราย และเป็นหญิงจำนวน 7 ราย สำหรับลักษณะของการก่อความรุนแรงในสังคม พบมีการทำร้ายร่างกายตนเองและผู้อื่นมากที่สุด จำนวน 90 คน รองลงมาเป็นการทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย จำนวน 58 คน และทำลายข้าวของ จำนวน 44 คน ตามลำดับ ทั้งนี้ จากรายงานพบว่า ผู้ที่ก่อเหตุรุนแรงในข่าวเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่เคยเข้ารับการบำบัด จำนวน 104 คน ซึ่งการสังเกตเฝ้าระวังพฤติกรรมและอาการที่เข้าข่ายเป็นผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตที่มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษา ได้แก่ หูแว่ว เห็นภาพหลอน หวาดระแวงไร้เหตุผล อยากฆ่าตัวตาย ทำร้ายตนเอง ทำร้ายคนอื่น พูดจาก้าวร้าว พูดจาเพ้อเจ้อ หลงผิด และแต่งกายแปลกกว่าคนปกติ
            อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า คนในครอบครัว ชุมชน และสังคมสามารถมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังดูแลได้ ดังนี้ 1. ครอบครัว/ญาติ/อสม./บุคคลที่พบเหตุ สามารถประเมินสถานการณ์ผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีอาการกำเริบ เฝ้าระวัง สังเกตสัญญาณเตือนในการก่อความรุนแรง เช่น ขีดข่วนหรือกรีดตัวเองเป็นรอยแผล ตะโกนด่าผู้อื่นด้วยคำหยาบคายรุนแรง ข่มขู่จะทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ พกพาหรือสะสมอาวุธโดยไม่สมเหตุสมผล รื้อหรือขว้างปาข้าวของกระจัดกระจาย ทำลายสิ่งของจนแตกหัก เป็นต้น ควรควบคุมพฤติกรรม หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย ประสานและส่งต่อข้อมูล 2. แกนนำ/ผู้นำชุมชน/เจ้าหน้าที่/ตำรวจ รับแจ้งเหตุ และช่วยประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วยเจรจาต่อรอง หลังจากผู้ป่วยหายป่วยแล้วลงเยี่ยมบ้านให้กำลังใจ 3. เทศบาลและองค์กรบริหารส่วนตำบล/หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนรถและสวัสดิการต่างๆ ในการประสานและนำส่งต่อ และ 4. ประชาชนทั่วไป ร่วมเฝ้าระวัง สังเกตอาการผิดปกติ และสัญญาณเตือนต่างๆ หากพบเห็นผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่เสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในสังคม สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน โทร. 1669 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อนำตัวเข้ารักษาที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลจิตเวชต่อไป

 

ข่าวเด่นประจำวัน

19 03 23 12 02 48 588 deco

กรมสุขภาพจิต ระบุ  การเรียนรู้  ประสบการณ์ และการสรุปบทเรียน คือเหตุผลทำให้การเกิดขึ้น และคงอยู่ของ ความสุข ความทุกข์ของแต่ละคน ต่างกัน  ในขณะที่การมีทัศนคติแบบสุดโต่ง  ไม่ว่าด้านบวกหรือลบ มีโอกาสทำให้เกิดความทุกข์ได้ง่าย  แนะวิธีจัดการกับความทุกข์ทีใครก็ทำได้ คือ การมีพื้นที่  หรือ มีงานอดิเรก ที่สามารถปลีกตัวไปแสวงหาความสงบ หรือความสุข ตามที่ต้องการได้  และการมีผู้รับฟังในยามที่เราเป็นทุกข์ 

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า  จากการรวบรวมความเห็นและทบทวนองค์ความรู้ในเรื่องความสุข  พบว่า เงื่อนไขที่ทำให้คนเรามีความสุขมี 3 เงื่อนไข คือ 1) เงื่อนไขภายนอกหมายถึง ความสุขจากการได้รับการตอบสนองความพึงพอใจโดยเฉพาะจากประสาทสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง เช่น การได้กินอาหารอร่อย ๆ การได้ฟังเพลงเพราะ ถึงจะเป็นความสุขเพียงชั่วคราวก็สามารถประคับประคอง ให้ลืมความทุกข์และสร้างลักษณะนิสัย เห็นความดีงาม จากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน   2) เงื่อนไขจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเช่น การมีเพื่อน มีกัลยาณมิตร มีมนุษย์สัมพันธ์ ย่อมมีโอกาสทั้งการมีความสุข และผ่อนคลายความทุกข์ 3) เงื่อนไขภายในตนเอง ซึ่งเกี่ยวพันกับทัศนคติส่วนตัว  หากเน้นการมีคุณธรรม การทำประโยชน์ต่อสังคม  และดำเนินชีวิต ในทางสายกลาง ย่อมมีโอกาส เกิดทุกข์ได้น้อยกว่าการดำเนินชีวิต หรือ มีทัศนคติแบบสุดโต่ง

ที่น่าสนใจ  คือ   ความสุข ความทุกข์ เป็นของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับทุกคน เกิดขึ้นชั่วระยะหนึ่งแล้วก็หายไป  แต่จะต่างกันที่การเกิดขึ้น และคงอยู่ของ ความสุข ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ ประสบการณ์ และการสรุปบทเรียนของแต่ละคน  บางคนมีนิสัยสุขได้ยาก บางคนมีนิสัยทุกข์ง่าย ทั้งนี้คนที่ทุกข์ง่าย ควรต้องระวังความคิดตนเอง มองตน มองคน มองโลก อย่างเป็นกลาง ไม่โน้มเอียงไปข้างลบ  ส่วน คนที่สุขยาก ต้องรู้จักเสพสุข มองโลกด้านสวยงาม มีสุขกับสิ่งเล็กน้อย เป็นนิสัย   นอกจากนี้ยังพบว่า  ความคิดที่ทำให้คนเป็น ทุกข์ คือ ความคิดแบบตีตนไปก่อนไข้ (กังวล)  ความคิดแบบเข้าข้างตนเอง หรือ เข้าข้างคนอื่น สุด ๆ  ความคิดลบ หรือ บวก สุด ๆ กล่าวได้ว่า “ความคิดแบบสุดโต่ง” ไม่ว่าด้านบวกหรือลบ คือ ต้นเหตุ ของความทุกข์ ซึ่งทางแก้คือ ต้องรู้ทันความคิด ความรู้สึก  นอกจากนี้ พบว่าแนวทางจัดการกับความทุกข์ทำได้ง่ายๆ เพียงมีพื้นที่  หรือมีงานอดิเรก ที่สามารถปลีกตัวไปแสวงหาความสงบ หรือความสุข ตามที่ตัวเองต้องการ และการมีผู้รับฟังในยามที่เราเป็นทุกข์   ซึ่งญาติมิตรทุกคน สามารถเป็นผู้รับฟังความทุกข์ของเราได้อยู่แล้ว  อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว

Subcategories

  • ข่าวประชาสัมพันธ์

    ความเครียด!!!

    วามเครียด เป็นภาวะของอารมณ์ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ คับข้องใจ หรือถูกบีบคั้น กดดันจนทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ใจ สับสน โกรธ หรือเสียใจ

    ลกระทบที่ได้จากความเครียด
       
    -
    ด้านร่ายกาย เช่น อาจจะทำให้ท้องเสีย หรือท้องผูก วิงเวียนศีรษะ ปวดหลัง เป็นต้น
        - ด้านอารมณ์ เช่น ส่งผลให้ขี้หงุดหงิด ซึมเศร้า รู้สึกท้อแท้ อ่อนไหวได้ง่าย เป็นต้น
        - ด้านพฤติกรรม เช่น มีปัญหาด้านการกิน นอนไม่หลับ แยกตัวออกจากสังคม เป็นต้น

    าเหตุของความเครียด
        1.จากตัวเอง
           อคติ รับผิดชอบงานไม่ตรงความสามารถ ภาวะกดดันการทำงานในระยะเวลาจำกัด ปัญหาครอบครัว
        2.สภาพแวดล้อมในการทำงาน
           ปริมาณงานมาก ความสัมพันธ์กับผู้อื่นในที่ทำงานไม่ดี งานมีระเบียบมากไป งานไม่มีความมั่นคงก้าวหน้า สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่ดี

  • ข่าวเด่นประจำวัน

    วามเครียด เป็นภาวะของอารมณ์ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ คับข้องใจ หรือถูกบีบคั้น กดดันจนทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ใจ สับสน โกรธ หรือเสียใจ

    ลกระทบที่ได้จากความเครียด
       
    -ด้านร่ายกาย เช่น อาจจะทำให้ท้องเสีย หรือท้องผูก วิงเวียนศีรษะ ปวดหลัง เป็นต้น
        - ด้านอารมณ์ เช่น ส่งผลให้ขี้หงุดหงิด ซึมเศร้า รู้สึกท้อแท้ อ่อนไหวได้ง่าย เป็นต้น
        - ด้านพฤติกรรม เช่น มีปัญหาด้านการกิน นอนไม่หลับ แยกตัวออกจากสังคม เป็นต้น

    าเหตุของความเครียด
        1.จากตัวเอง
           อคติ รับผิดชอบงานไม่ตรงความสามารถ ภาวะกดดันการทำงานในระยะเวลาจำกัด ปัญหาครอบครัว
        2.สภาพแวดล้อมในการทำงาน
           ปริมาณงานมาก ความสัมพันธ์กับผู้อื่นในที่ทำงานไม่ดี งานมีระเบียบมากไป งานไม่มีความมั่นคงก้าวหน้า สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่ดี

คลังเอกสารคุณภาพฝ่ายการพยาบาล

2-10-2566 10-28-57

Zo2 Framework Settings

Select one of sample color schemes

Google Font

Menu Font
Body Font
Heading Font

Body

Background Color
Text Color
Link Color
Background Image
 
Top of Page