โรคเกาท์เทียม เป็นโรคที่มักเกิดความสับสนกับโรคเกาท์และโรคข้ออื่น ๆ ดังนั้น การวินิจฉัยโรคที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โรคเกาท์เทียมที่ไม่ได้รักษาอาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมของข้ออย่างรุนแรง มีการอักเสบเรื้อรังและนำไปสู่การพิการได้ เราจึงได้สรุป 10 ประเด็นสำคัญของโรคเกาท์เทียมที่คุณควรรู้ ดังนี้
1. โรคเกาท์เทียมมีความคล้ายคลึงกับโรคเกาท์ แต่ทั้งสองโรคนี้เกิดขึ้นจากการสะสมผลึกที่ต่างกัน
โรคเกาท์เทียม คือภาวะที่เกิดขึ้นจากการที่มีผลึก calcium pyrophosphate สะสมภายในข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อนั้น ในขณะที่โรคเกาท์เกิดจากการสะสมของผลึกยูริกภายในข้อ
2. โรคเกาท์เทียมหรือที่เรียกว่า CPPD อาจมีอาการเหมือนโรคข้อเสื่อมและข้ออักเสบรูห์มาติกเช่นเดียวกับโรคเกาท์
ผู้ป่วยที่มีการสะสมของผลึก Calcium Pyrophosphate ประมาณ 25% จะเกิดโรคที่เรียกว่าโรคเกาท์เทียม ผู้ป่วยโรคเกาท์เทียมไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกคน แต่ผู้ป่วยประมาณ 5% อาจมีอาการที่คล้ายกับที่เกิดในโรคข้ออักเสบรูห์มาติก และอีกประมาณ 50% เกิดอาการที่คล้ายคลึงกับในโรคข้อเสื่อมได้
3. โรคเกาท์เทียมมักเกิดขึ้นที่ข้อเดียว โดยเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง
ถึงแม้ว่าเวลาที่โรคเกาท์เทียมกำเริบอาจรุนแรงได้ คล้ายกับโรคเกาท์เมื่อมีอาการ แต่ก็มักจะปวดน้อยกว่า โดยโรคเกาท์เทียมมักกำเริบ เช่น
- ปวดได้นานตั้งแต่หลายวันจนถึง 2 สัปดาห์
- อาจมีไข้ตามมาได้
- มักเกิดขึ้นได้เอง หรืออาจเกิดตามหลังการเจ็บป่วยรุนแรง การผ่าตัด หรือการได้รับอุบัติเหตุ
- ทำให้กระดูกอ่อนและข้อต่อถูกทำลายและแย่ลงเรื่อย ๆ หลังจากมีอาการกำเริบได้หลายปี
4. เกือบครึ่งของโรคเกาท์เทียมกำเริบเกิดขึ้นที่ข้อเข่า
โรคเกาท์เทียมมักจะเกิดที่เข่า ในขณะที่โรคเกาท์มักจะเกิดที่นิ้วโป้งเท้า แต่โรคเกาท์เทียมก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกข้อ รวมถึงนิ้วโป้งเท้าด้วยเช่นกัน
5. ทุกคนมีโอกาสเป็นโรคเกาท์เทียม แต่ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่ออายุมากขึ้น
การเกิดผลึกสะสมในข้อที่ทำให้เกิดโรคเกาท์เทียมนี้เกิดขึ้นในประชากรประมาณ 3% ของผู้ที่มีอายุประมาณ 60 ปี โดยสัดส่วนของจำนวนผู้ป่วยนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 50% ในผู้ที่มีอายุ 90 ปี และโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้เท่ากันทั้งผู้ชายและผู้หญิง
6. ผู้ป่วยโรค CPPD บางส่วนมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมาก่อน
นอกจากปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคเกาท์เทียมแล้วนั้น ปัจจัยอื่นที่ทำให้เพิ่มโอกาสในการเป็นโรคประกอบด้วย
- ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากไป (Hyperparathyroidism)
- ภาวะ Hemochromatosis
- ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานน้อยไป (Hypothyroidism)
- ภาวะ Amyloidosis
- ภาวะพร่องแมกนีเซียมในเลือด (Hypomagnesemia)
- ภาวะฟอสเฟตต่ำ (Hypophosphatasia)
7. การส่งตรวจที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคเกาท์เทียมคือการส่งตรวจน้ำในข้อ
ทำได้โดยการดูดน้ำจากข้อที่มีอาการและนำมาส่องหาผลึกลักษณะรูปแท่งหรือรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ซึ่งจะทำให้สามารถยืนยันการวินิจฉัยโรคได้ นอกจากนั้นหากตรวจพบว่ามี แคลเซียมสะสมที่กระดูกอ่อนและภายในข้อ (Chondrocalcinosis) ภายใต้การมองด้วยรังสีเอกซเรย์ก็สามารถช่วยยืนยันการวินิจฉัยได้เช่นกัน และอาจพิจารณาส่งการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้เป็นโรคข้ออักเสบจากสาเหตุอื่น
8. ยังไม่มีการรักษาโรคเกาท์เทียมให้หายขาด แต่มีวิธีการรักษาที่จะสามารถควบคุมอาการได้
โรคเกาท์เทียมสามารถควบคุมได้โดยการใช้ยา โดยแพทย์มักจ่ายยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อควบคุมอาการปวดและการอักเสบเมื่อโรคเกาท์เทียมกำเริบ และใช้ Colchicine ร่วมกับ NSAID ปริมาณน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้กำเริบในครั้งหน้า และอาจฉีด cortisone เข้าในข้อที่อักเสบเพื่อควบคุมอาการปวดและการอักเสบได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาอื่นได้ และการผ่าตัดก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาของผู้ป่วยที่มีการทำลายของข้ออย่างรุนแรง
9. เนื่องจากโรคเกาท์เทียมมักเกิดการเข้าใจสับสนกับโรคข้ออักเสบอื่น ๆ ดังนั้นจึงควรได้รับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญ
เนื่องจากลักษณะของโรคเกาท์เทียมมีความคล้ายคลึงกับโรคข้ออักเสบชนิดอื่น ดังนั้น จึงควรพบผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อ (Rheumatologist ) เพื่อทำการวินิจฉัย เพราะการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ และรวดเร็วจะทำให้มีโอกาสในการป้องกันไม่ให้เกิดการทำลายข้ออย่างรุนแรงได้
10. อาหารไม่มีส่วนต่อการทำให้เกิดโรคเกาท์เทียม และการเปลี่ยนอาหารก็ไม่ได้ช่วยควบคุมอาการของโรค
ถึงแม้ว่าผลึกที่มีการสะสมในโรคเกาท์เทียม จะมีส่วนประกอบของแคลเซียม แต่การกินอาหารที่มีแคลเซียมจำนวนมากก็ไม่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นให้เกิดโรคเกาท์เทียม