1.การใส่ชุดเข้าคลอดและการผ่าตัด
2.การฉีดยาชา
3. การดูดเสมหะ การจับ,อุ้มและการส่งทารกให้แพทย์
4. การดูดเสมหะ การช่วยคลอด ไหล่ ตัว และการตัดสายสะดือ
5. การตัดฝี เย็บ และ การช่วยคลอด
6. การทำคลอดโดยเครื่องดูดสูญญากาศ
7. การทำคลอดทารกที่มีส่วนนำเป็นก้นในการผ่าตัดคลอด
8. การทำคลอดทารกที่มีส่วนนำเป็นศีรษะในการผ่าตัดคลอด
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ได้กำหนดวัตถุประสงค์และเนื้อหารายวิชาให้สอดคล้องตามหลักสูตรคณะแพทยศาสตร์ และเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภา ดังนี้
รายวิชา จว 301 (PC 301) 2 (2-0)
- ต้องมีความรู้เกี่ยวกับพยาธิกำเนิด พยาธิสรีรวิทยา การวินิจฉัยและการวินิจฉัยแยกโรค/ ภาวะ / กลุ่มอาการทางจิตเวชที่พบบ่อยและ / หรือมีความสำคัญในประเทศไทยที่มักเป็นสาเหตุของอาการสำคัญหรือปัญหาที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์
รายวิชา จว 501 (PC 501) 2 (2-0)
- ต้อง มีความรู้ สามารถให้การวินิจฉัย วินิจฉัยแยกโรค / ภาวะ / กลุ่มอาการทางจิตเวชที่พบบ่อยและ / หรือมีความสำคัญในประเทศไทยที่มักเป็นสาเหตุของอาการสำคัญหรือปัญหาที่นำผู้ ป่วยมาพบแพทย์ รักษา ฟื้นฟูสภาพ ให้คำแนะนำและป้องกันได้เหมาะสมและทันท่วงที ตามสถานการณ์และสถานภาพ
- ต้องรู้ข้อบ่งชี้ของการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษและการตรวจทางห้องปฏิบัติการทางจิตเวช
รายวิชา จว 511 (PC 511) 2 (0-2)
- ฝึกตรวจวินิจฉัย วินิจฉัยแยกโรค ผู้ป่วยจิตเวชในกลุ่มที่พบได้บ่อย ๆ และสามารถให้การรักษาเบื้องต้น ฟื้นฟูสภาพ ให้คำแนะนำและป้องกันได้เหมาะสมและทันท่วงทีตามสถานการณ์และสถานภาพ
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับภาควิชาอื่น ๆ ของคณะแพทยศาสตร์ มศว เมื่อเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2528 โดยใช้สถานที่ตั้งของภาควิชาอยู่ที่ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา วชิรพยาบาล และใช้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนการสอนของนิสิตแพทย์ มศว ชั้นปีที่ 4-5-6 โดยนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4 รุ่นแรกที่ขึ้นปฏิบัติงานในภาควิชาเริ่มในเดือน เมษายน พ.ศ. 2531 โดยมีอาจารย์นายแพทย์สุหัส ฟุ้งเกียรติ เป็นหัวหน้าภาควิชาเป็นท่านแรก และมีอาจารย์ประจำภาควิชาท่านแรก ได้แก่ อาจารย์นายแพทย์ประทีป หาญอิทธิกุล มีนิสิตแพทย์กลุ่มแรกราว 10-12 คน ปฏิบัติงานเป็นระยะเวลา 13 สัปดาห์
ต่อมาหลังจากอาจารย์นายแพทย์สุหัส ฟุ้งเกียรติ เกษียณอายุราชการ หัวหน้าภาควิชาท่านต่อไป ได้แก่ อาจารย์นายแพทย์สุวัฒน์ จันทรจำนง และได้รับอาจารย์แพทย์เพิ่มขึ้นอีก 1 ท่าน ได้แก่ อาจารย์นายแพทย์วิโรจน์ ตระการวิจิตร และในปี พ.ศ. 2533 นิสิตแพทย์ได้ขึ้นปฏิบัติการงานในภาควิชาครบทั้ง 3 ชั้นปี (ปี 4-5-6) ซึ่งในปี พ.ศ. 2534 เดือน มีนาคม นิสิตแพทย์ มศว รุ่นที่ 1 ก็ได้จบการศึกษาออกไปปฏิบัติงานเป็นแพทย์ใช้ทุนรุ่นแรกของคณะแพทยศาสตร์ มศว และสามารถปฏิบัติงานรักษาผู้ป่วยทางสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาในโรงพยาบาลต่าง จังหวัดที่ใช้ทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานของแพทยสภา
ในปี พ.ศ. 2541 เดือนมีนาคม คณะแพทยศาสตร์ มศว ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลตำรวจ ในการฝึกอบรมนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 6 เป็นปีแรกโดยส่งนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 6 จำนวน 18 คน ไปปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลตำรวจตลอดปีการศึกษาโดยไม่กลับมาปฏิบัติงานที่วชิร พยาบาล จึงได้แต่งตั้งให้แพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นอาจารย์พิเศษของคณะแพทยศาสตร์ มศว ด้วยเช่นเดียวกับที่วชิรพยาบาล ในภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา มีนิสิตแพทย์ มศว ชั้นปีที่ 6 ขึ้นปฏิบัติงาน กลุ่มละ 3 คน เป็นระยะเวลา 60 วันนับเป็นสถานที่แห่งที่สองถัดจากภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาวชิรพยาบาล
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2543 เดือน เมษายน ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ อำเภอองครักษ์ ได้เริ่มรับผู้ป่วยในเป็นครั้งแรก ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา จึงได้ส่งนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 6 ซึ่งหมุนเวียนมาปฏิบัติงาน ไปปฏิบัติงานที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีด้วย โดยสลับกันไปครั้งละ 3 คน คนละ 2 สัปดาห์ โดยอยู่ในความควบคุมดูแลของอาจารย์ประจำภาควิชาที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระ เทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีสองท่าน คือ อาจารย์นายแพทย์ภาวิน พัวพรพงษ์ และอาจารย์นายแพทย์เกษม เรืองรองมรกต ซึ่งได้มาพัฒนาด้านการบริการเพื่อรองรับการเรียนการสอนตั้งแต่ปลายปี 2542 จึงนับเป็นแหล่งที่สามในการฝึกอบรมถัดจากวชิรพยาบาลและโรงพยาบาลตำรวจ
ในปี พ.ศ.2545 เดือนเมษายน คณะแพทยศาสตร์ มศว ได้ย้ายสถานที่ปฏิบัติงาน มาที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อย่างเต็มรูปแบบ โดยสอนนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4 ทุกภาควิชาที่ศูนย์การแพทย์ ฯ ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาจึงได้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ทั้งหมด ณ อาคารศูนย์การแพทย์ฯ มีนิสิตแพทย์ ปี 4 รุ่นแรกที่ใช้สถานที่ใหม่ จำนวน 88 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 30 คน หมุนเวียนกันมาปฏิบัติงาน จัดห้องเรียนภาคบรรยายและห้องประชุมภาควิชาที่ชั้น 8 ห้องเรียนหัตถการ ห้องคลอดและห้องผ่าตัดที่ชั้น 3 ห้องตรวจผู้ป่วยนอกฝากครรภ์และผู้ป่วยนอกนรีเวชที่ชั้น 2 ใช้ระยะเวลาเรียนทั้งหมด 11สัปดาห์ ส่วนนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 6 ยังคงใช้สถานที่ปฏิบัติงานที่ศูนย์การแพทย์ ฯ วชิรพยาบาลและโรงพยาบาลตำรวจ เช่นเดิม จนในปี 2550 การเรียนการสอนของนิสิตแพทย์จึงย้ายฐานการสอนออกจากวชิรพยาบาล เหลือเฉพาะโรงพยาบาลตำรวจที่เป็นสถาบันสมทบเท่านั้น และมีการเพิ่มการรับนิสิตเพิ่มขึ้นจนเป็นปีละ 120 คน การวางแผนการรองรับการเพิ่มจำนวนของนิสิตแพทย์ได้มีการเตรียมศูนย์การแพทย์ ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน เพื่อร่วมเป็นสถาบันสมทบอีกแห่งหนึ่งในปี 2551 และได้ส่งนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 6 ไปหมุนเวียนในปี 2552 ซึ่งทำให้นิสิตแพทย์ได้รับการฝึกทักษะและดูแลผู้ป่วยที่หลากหลายขึ้น
การพัฒนาการเรียนการสอนหลังปริญญาก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนในปี 2552 ได้รับการรับรองหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางทางสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา(หลัก สูตรแพทยสภา 42 เดือน) โดยมีการฝึกอบรมร่วมกับสถาบันสมทบคือ โรงพยาบาลภูมิพล
สำหรับการพัฒนาด้านอาจารย์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 เรื่อยมา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ได้รับสมัครและบรรจุอาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยจากเดิมมีจำนวนเพียง 4 ท่าน จนปัจจุบันมีจำนวนอาจารย์แพทย์ทั้งหมด 14 ท่าน และได้มีการสนับสนุนให้คณาจารย์ในภาควิชาได้ไปอบรมศึกษาต่อในต่างประเทศ เพื่อรองรับหลักสูตรแพทยศาสตร์นานาชาติในอนาคต
เมื่อมีการย้ายการเรียนการสอนมาที่ศูนย์การแพทย์ ฯ มีการแต่งตั้งหัวหน้าภาคของภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาจากอาจารย์แพทย์ที่ ปฏิบัติงานที่ศูนย์การแพทย์ ฯ ดังนี้
1.ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์วิเชียร มโนเลิศเทวัญ
2.ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ภาวิน พัวพรพงษ์
นอกจากงานการเรียนการสอนนิสิตแพทย์แล้ว ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ยังดำเนินงานตรวจรักษาผู้ป่วยทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในทางสูติศาสตร์นรี เวชวิทยา มีการเปิดให้บริการคลินิกเฉพาะทาง คลินิกครรภ์เสี่ยงสูง คลินิกมะเร็งนรีเวช คลินิกวัยทอง ศูนย์เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ คลินิกนอกเวลาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา มีการส่งเสริมการทำวิจัยของทั้งอาจารย์ แพทย์ใช้ทุน และบุคลากรในภาควิชาอย่างต่อเนื่องและจัดอบรมฟื้นฟูความรู้ทางวิชาการเป็น ประจำร่วมกับการจัดประชุมประจำปีของคณะ และยังส่งเสริมทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมดีงามของไทยโดยจัดงานวันแม่เป็นประจำ ทุกปีตั้งแต่ปี 2548 เพื่อส่งเสริมให้โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นโรงพยาบาลสายใยครอบครัว เพื่อให้ได้มาตรฐานสากลสมตามวิสัยทัศน์และพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์ มศว ที่ตั้งไว้